ทินเนอร์ คือ สารเคมีชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นในงานก่อสร้าง งานทาสี หรือใช้ในการทำความสะอาดพื้นผิวต่าง ๆ รวมไปถึงงานช่างอื่น ๆ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสารเคมีที่สำคัญมาก ๆ ในงานก่อสร้าง วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับกับทินเนอร์กันมากขึ้น ว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง และต้องใช้อย่างไรให้ถูกต้อง
รู้จักกับทินเนอร์
ทินเนอร์ คือ ส่วนผสมโดยนำเอาตัวทำละลายชนิดต่าง ๆ มาผสมกันในสัดส่วนที่พอเหมาะ เพื่อให้ได้คุณสมบัติตามที่ต้องการ โดยจะมีลักษณะเป็นของเหลวใส ระเหยง่าย และมีกลิ่นฉุน จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำละลายและเจือจางสี หรือใช้สำหรับเป็นน้ำยาเคลือบเงา เพื่อลดความหนืด และเจือจางให้สีเหมาะ และง่ายต่อการใช้งาน
นอกจากนี้ทินเนอร์ที่ดียังมีส่วนช่วยให้ฟิล์มสีมีความเรียบขึ้นอีกด้วย ช่วยให้การทาหรือฉีดสเปรย์สีเป็นเรื่องที่ง่ายและเร็วขึ้น โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยหรือความไม่สมบูรณ์ของพื้นผิว โดยในทินเนอร์จะประกอบไปด้วยแอลกอฮอล์ (Alcohol), เอสเตอร์ (Ester), คีโตน (Ketone), อะโรมาติก (Aromatic), อีเตอร์ (Ether) และกลุ่มไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) ซึ่งล้วนต่อเป็นสารเคมีที่อันตราย อาจส่งผลอันตรายต่อร่างกายได้
ทินเนอร์มีกี่ชนิด?
ด้วยความที่ทินเนอร์สามารถนำมาใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทำให้ในปัจจุบันทินเนอร์จึงถูกแบ่งออกเป็นหลายชนิดตามประเภทของการใช้งาน
1. ทินเนอร์สำหรับผสมสี
สำหรับผลิตภัณฑ์สีทาบ้านที่เป็นน้ำมันนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะไม่สามารถนำมาใช้งานเลยได้ เพราะสีทาบ้านประเภทน้ำมัน ถือเป็นสีที่มีความหนืดมาก ทำให้เมื่อเอาไปใช้ในอุปกรณ์พ่น หรือทากับชิ้นงานเลยจะใช้งานได้ยาก และสิ้นเปลืองสีในการใช้งานนั่นเอง ทำให้ทินเนอร์สำหรับใช้ผสมสี จึงถูกแบ่งออกอีกเป็นหลายประเภท
- ทินเนอร์สำหรับเติมเจือจางสีแลคเกอร์ หรือที่ส่วนใหญ่เรียกว่าแลคเกอร์ มีคุณสมบัติคือเพิ่มคุณภาพของงานให้สวยงาม และป้องกันการเกิดละอองบนชิ้นงาน
- ทินเนอร์สำหรับเจือจางสีน้ำมันแห้งช้า หรือน้ำมันสน นิยมใช้กับงานพ่นสี งานกลิ้ง และงานแปรงที่แห้งช้า
- ทินเนอร์สำหรับเจือจางอีพ็อกซี่ ใช้ทำละลายกับอีพ็อกซี่ ทำให้การพ่น และทาได้ง่ายกว่าเดิม
ทินเนอร์ที่ใช้สำหรับผสมกับสีเพื่อใช้งานทา หรือพ่นโดยตรงนั้น ปกติแล้วจะมีราคาสูงกว่าทินเนอร์ทั่วไป ทำให้การใช้งานทินเนอร์ประเภทนี้ก็คือ เวลาผสมจะต้องผสมให้ได้อัตราส่วนที่เหมาะสม หากผสมในอัตราส่วนที่ผิด ก็อาจจะทำให้สีที่ได้ผิดเพี้ยนไปด้วย ดังนั้นผู้ใช้ต้องเจ้าใจอัตราส่วนการผสมให้ดีก่อนเริ่มใช้งานนั่นเอง
2. ทินเนอร์สำหรับล้าง และทำความสะอาด
สำหรับทินเนอร์ประเภทนี้ จะเป็นทินเนอร์ที่มีราคาถูกกว่าชนิดอื่น โดยจะมีส่วนผสมหลักเป็นส่วนผสมในการทำละลายทั้งสิ้น ทำให้นิยมนำมาใช้ในการเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ที่เปื้อนจากคราบจารบี หรือน้ำมัน เป็นต้น
นอกจากนั้นทินเนอร์ประเภทนี้มักนิยมนำมาใช้ในงานก่อสร้าง งานช่าง ไปจนถึงงานภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่เพราะมีคุณสมบัติในการทำละลาย และกัดกร่อนสูง จึงไม่เป็นที่นิยมนำมาใช้ล้างพื้นผิวชิ้นงานโดยตรง เพราะอาจทำให้อุปกรณ์กัดกร่อน และพื้นผิวเสื่อมสภาพได้ โดยเฉพาะวัสดุประเภทยาง หรือพลาสติก
3. ทินเนอร์สำหรับใช้เช็ดคราบ
เป็นทินเนอร์สำหรับใช้ทำความสะอาดเช่นกัน โดยจะนำมาใช้เช็ดคราบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คราบน้ำมันเครื่อง จารบี ซิลิโคน ยางมะตอย รวมถึงการใช้เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวเหล็กกัลวาไนซ์ได้เช่นกัน โดยคราบที่เช็ดส่วนใหญ่จะเป็นคราบสกปรกที่มีส่วนผสมของน้ำมันด้วยนั่นเอง ที่สำคัญเลยคือทินเนอร์ชนิดนี้จะไม่เหมาะกับการนำไปผสมกับสีเพื่อใช้ทา เพราะเป็นทินเนอร์ที่ไม่ละลายเข้ากับสีนั่นเอง
วิธีการใช้ทินเนอร์ที่ถูกต้อง
สำหรับการนำทินเนอร์มาใช้งาน เราจะต้องแบ่งการนำทินเนอร์มาใช้งานแต่ละประเภทอย่างชัดเจน เช่นการนำมาใช้ทำความสะอาด หรือนำมาใช้กับสีใช้ทา เป็นต้น เพราะทินเนอร์แตละประเภทจะมีสารบางอย่างที่แตกต่างกัน
วิธีการใช้ทินเนอร์ในการทาสี
1. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
ในขั้นตอนการเริ่มต้นใช้งานทินเนอร์ เราจะต้องเตรียมอุปกรณ์ และพื้นที่ให้พร้อมก่อนเริ่ม เพราะทินเนอร์ถือว่าเป็นสารเคมีที่เป็นอันตรายกับร่างกายได้ ทั้งผิวหนัง และการสูดดม นอกจากนั้นทินเนอร์ยังสามารถทำให้ติดไฟ และทำให้เกิดระเบิดได้อีกด้วย
เพราะฉะนั้นการใช้งานทินเนอร์ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง เช่น หน้ากาก ถุงมือ เพื่อป้องกันไม่สารเคมีเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นไม่ควรใช้ทินเนอร์ในสถานที่อับลม หรือในที่ที่มีสวิทซ์ไฟ เครื่องทำความร้อน เครื่องไฟฟ้าที่ไม่มีระบบกันการระเบิดหรือมีเปลวไฟ และประกายไฟ ควรจะใช้งานในพื้นที่ที่มีบริเวณกว้าง และมีอากาศถ่ายเท เพื่อความปลอดภัยของตัวเรานั่นเอง
2. เลือกใช้ทินเนอร์ที่เหมาะสม
ก่อนที่จะเริ่มต้นการใช้ทินเนอร์ในการทาสี เราควรจะเลือกซื้อทินเนอร์ที่เหมาะกับประเภทของสีที่เราจะใช้ และวิธีการทา ตัวอย่างเช่น หากเราจะพ่นสีลงบนพื้นผิวเราจะต้องผสมสีที่บางกว่า เพราะทินเนอร์สีสำหรับสีน้ำลาเท็กซ์นั้น ไม่เหมาะสำหรับสีน้ำมัน ดังนั้นเราควรตรวจสอบ และเลือกให้ดีก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าทินเนอร์เหมาะสมกับสีก่อนเลือกผลิตภัณฑ์
3. เลือกใช้ทินเนอร์ในปริมาณที่เหมาะสม
การนำทินเนอร์มาใช้ ข้อสำคัญเลยคือการนำมาใช้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยให้ตรวจสอบฉลากภาชนะข้างถังบรรจุสี เพื่อดูอัตราส่วนสีที่แนะนำของผู้ผลิตต่อสีทินเนอร์ เพราะการนำมาใช้ในการทาสี ทินเนอร์จะต้องมีอัตราส่วนที่เหมาะสม
โดยปริมาณสีต่อทินเนอร์ จะใช้อัตราส่วนอยู่ที่ 3:1 หรือ 4:1 โดยสิ่งที่สำคัญเลย คือต้องรักษาปริมาณสีให้สูงกว่าปริมาณทินเนอร์ เพราะถ้าเราเลือกใช้ทินเนอร์ในปรมาณที่มากกว่า อาจทำให้สีบางเกินไป และอาจทำให้เฉดสีจางกว่าที่ต้องการได้
4. ทดสอบส่วนผสม
หลังจากที่เราผสมทินเนอร์ และสีเรียบร้อยแล้ว ให้นำส่วนที่เราผสมไว้ มาทดลองบนพื้นผิวที่เราต้องการทา หรือใส่ลงในเครื่องพ่นสีเพื่อทดสอบความหนืด ลักษณะ และการยึดเกาะ เพราะสีที่ดีควรจะสามารถปกปิดพื้นผิวอย่างสมบูรณ์ และไม่ควรไหลหรือหยดมากเกินไป ซึ่งถ้าหากสียังดูหนาเกินไป ให้เติมทินเนอร์สีเพิ่มได้ แล้วทำการทดสอบซ้ำจนกว่าเราจะพอใจกับผลลัพธ์ หรือได้สีตามที่เราต้องการนั่นเอง
ทินเนอร์ สารเคมีอันตรายแต่มีประโยชน์
ทินเนอร์ถือเป็นสารเคมีที่มีประโยชน์มากในงานช่าง และงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในการทาสี เพราะทินเนอร์เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทาสีสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการเคลือบพื้นผิววัสดุ ช่วยเพิ่มความเงางามให้กับวัสดุต่าง ๆ การใช้งานทินเนอร์จึงจำเป็นจะต้องเลือกประเภทให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้ได้ประโยชน์จากทินเนอร์ที่ครบถ้วนตามที่เราต้องการนั่นเอง
ปรึกษาปัญหาสี
Facebook: Captain Coating
Line: Captain Coating